ส้ม ผลไม้ฤดูหนาว คุณประโยชน์หลากหลาย ที่ดีต่อสุขภาพ เหมาะกับทุกครอบครัว

ส้ม

ส้ม มีประโยชน์ที่มากมายต่อสุขภาพและเหมาะกับทุกครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นเด็กๆ ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ การรับประทานผลไม้เหล่านี้จะมีผลดีต่อร่างกายและสุขภาพของทุกคน สรรพคุณของส้ม ส้มมีคุณค่าทางโภชนาการที่สูง ประกอบไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร และสารอาหารสำคัญอื่น ๆ ที่ช่วยบำรุงร่างกาย ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคต่าง ๆ อีกด้วย

ประโยชน์ของส้ม

ประโยชน์ของส้ม ส้มเป็น ผลไม้วิตามินซี ที่มีรสเปรี้ยวอมหวานสามารถนำมาทำเครื่องดื่มให้ความสดชื่นกับร่างกายได้ นอกจากนี้ส้มยังมีคุณค่าทางอาหารไม่น้อยและประโยชน์อีกหลากหลายอย่าง ซึ่งสามารถบอกได้ว่าส้มเป็นผลไม้สารพัดประโยชน์ เรามาดูกันดีกว่า 12 ประโยชน์ของส้มนั้นมีอะไรบ้าง

1.ผลไม้แก้ท้องผูก
      ส้มเพราะมีใยอาหารสูง ช่วยในระบบย่อยอาหารและการขับถ่าย โดยกินส้ม 1 ผลใหญ่ก็จะได้ใยอาหาร 2.0 กรัม

2.กระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย
      ส้มมีวิตามินซีไม่น้อย จึงทำให้ส้มจัดเป็นผลไม้กระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย ช่วยป้องกันอาการป่วย ไปจนถึงอาการป่วยที่หนักหนาได้ เพราะเมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดี เราก็จะป่วยยาก เชื้อโรคและไวรัสต่างๆ ก็มีโอกาสจู่โจมเราได้น้อยนั่นเอง

3.ปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด
     น้ำตาลฟรุกโตสในเนื้อส้มมีส่วนช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่พุ่งสูงหลังจากกินส้มเข้าไป อีกทั้งไฟเบอร์ในส้มยังช่วยให้ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกทาง จึงจัดว่าส้มเป็นผลไม้ช่วยคุมระดับน้ำตาลในเลือดอีกชนิดหนึ่ง

4.ช่วยลดความดันโลหิต
     ส้ม ประโยชน์เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม และยังมีปริมาณโซเดียมค่อนข้างต่ำ จึงช่วยในกระบวนการไหลเวียนโลหิตได้ดี ทำให้ร่างกายควบคุมความดันโลหิตได้อย่างสมดุล และยังช่วยลดความดันเลือดในคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงด้วยนะคะ

5.ลดคอเลสเตอรอลในเลือด
     ในเนื้อส้มเองก็ไม่มีคอเลสเตอรอล ขณะที่วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระที่มีในเนื้อส้มก็ยังมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ โดยสารต้านอนุมูลอิสระจะเข้าไปปกป้องหลอดเลือดไม่ให้อนุมูลอิสระเข้ามาเกาะและก่อให้เกิดไขมันพอกพูนไปเรื่อย ๆ จนก่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอย่างโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจ เป็นต้น

6.บำรุงหัวใจ
     โพแทสเซียมในส้มคือส่วนสำคัญที่ช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ในส้มยังมีวิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ดีต่อการทำงานของหัวใจ ช่วยให้หัวใจเต้นในจังหวะปกติ และช่วยในการไหลเวียนของเลือดให้เป็นไปอย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น

7.ลดความเสี่ยงโรคนิ่วในไต
     มีการศึกษาพบว่า น้ำส้ม มีส่วนช่วยลดการเกิดนิ่วในไต โดยโพแทสเซียมในส้มจะช่วยยับยั้งการเกิดนิ่วต่าง ๆ ในร่างกาย และช่วยให้นิ่วถูกขับถ่ายออกมาพร้อมของเสีย ลดความเสี่ยงโรคนิ่วในไตและนิ่วในอวัยวะอื่น ๆ ได้

8.ยับยั้งการเกิดแผลเปื่อย
     การศึกษาในวารสาร American College of Nutrition พบว่า คนที่ร่างกายได้รับวิตามินซีสูงจะมีโอกาสเกิดแผลเปื่อยได้น้อยกว่าคนที่ร่างกายได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอต่อความต้องการ และส้มก็เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมากถึง 89% ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวันเชียวนะคะ

9.ลดความเสี่ยงโรคสโตรก
     อาการสโตรก (Stroke) เกิดจากการที่หลอดเลือดตีบ แตก ตัน ซึ่งการศึกษาจากมูลนิธิโรคหัวใจแห่งอเมริกา พบว่า การรับประทานผลไม้ประเภทซิตรัสอย่างส้มและเกรปฟรุตมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงโรคสโตรกในผู้หญิงได้ถึง 19% เมื่อเทียบกับอาสาสมัครที่กินผลไม้ในกลุ่มซิตรัสน้อยกว่า

10.ป้องกันมะเร็ง
     ในเนื้อส้มมีสารต้านอนุมูลอิสระประเภทฟลาโวนอยด์ค่อนข้างสูง ซึ่งเจ้าสารตัวนี้มีคุณสมบัติช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ อีกทั้งเนื้อส้มที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ก็ยังจะช่วยขับเอาของเสียที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ออกมา จึงช่วยลดโอกาสเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกทาง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า สารซิตรัสในส้มสามารถต้านการเกิดมะเร็งช่องปาก มะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และมะเร็งกระเพาะอาหารได้ด้วย

11.ลดความเสี่ยงโรคจอประสาทตาเสื่อม
     มีงานวิจัยที่เผยว่า เพียงกินส้มวันละผลก็ช่วยลดโอกาสเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ ส่วนรายละเอียดจะเป็นยังไง ลองอ่านกันเลย

12.ส้มช่วยบำรุงผิว
     สารต้านอนุมูลอิสระผสานกับพลังแห่งวิตามินซีมีส่วนช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากการถูกแสงแดดทำร้าย ปกป้องผิวจากมลพิษ ช่วยลดการเกิดริ้วรอย และช่วยบำรุงเซลล์ผิวให้แข็งแรง ทำให้ผิวดูกระชับตึงมากขึ้น เนื่องจากวิตามินซีเป็นสารตั้งต้นของคอลลาเจนนั่นเองประโยชน์ของส้ม

ส้ม

7 สายพันธุ์ส้มยอดนิยม ดีต่อสุขภาพ

ส้มถือเป็นผลไม้สามัญประจำบ้านที่คนส่วนใหญ่มักจะซื้อหามาติดบ้านไว้อยู่เสมอ เพราะนอกจากจะเป็นผลไม้ที่หาซื้อง่าย มีจำหน่ายทุกฤดูกาลแล้ว ยังมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย อีกทั้งยังสามารถพลิกแพลงเป็นเมนูต่าง ๆ ได้หลากหลายอีกด้วย ดังนั้นวันนี้ทางเราขอแนะนำ สายพันธุ์ส้ม ที่คนไทยนิยมรับประทานมาฝากเพื่อนกันจ้า ส้มมีกี่ชนิด ตามมาดูกันได้เลย

1.ส้มสายน้ำผึ้ง
สายพันธุ์ : ส้มเขียวหวานลักษณะ : ลักษณะโดยทั่วไปผลส้มนั้นเวลาสุกเต็มที่จะมีสีเหลือง บางทีก็เหลืองสลับเขียวแต่พื้นที่ของสีส้มจะมากกว่าสีเขียว ส้มสายน้ำผึ้งที่ขึ้นชื่อที่สุด คงหนีไม่พ้นแหล่งผลิตที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ รสชาติโดยทั่วไปของส้มจะเปรี้ยวนำหวานตาม รสเปรี้ยวจะโดดขึ้นมาให้สัมผัสก่อนจะมีรสหวาน ผลฉ่ำน้ำ
คุณค่าทางโภชนาการ : รสชาติดี ให้วิตามินซีสูง จะทานผลสดหรือนำไปคั้นเป็นน้ำส้มก็ดื่มง่ายเช่นกัน ที่สำคัญส้มสายน้ำผึ้งยังมีส่วนช่วยในการขับถ่าย

2.ส้มเขียวหวานบางมด
สายพันธุ์ : ส้มเขียวหวานฅลักษณะ : ทรงผลค่อนข้างกลมถึงแป้นเล็กน้อย ผิวผลสีเขียวอมเหลือง แต่เมื่อปลูกทางภาคเหนือผิวผลจะมีสีเหลืองเข้ม ผิวเรียบ ก้นผลราบถึงเว้าเล็กน้อย กลีบแยกออกจากกันง่าย เนื้อผลสีส้ม ชานนิ่ม ฉ่ำน้ำ รสชาติหวาน อมเปรี้ยว ขึ้นชื่อว่าเป็น “ราชาแห่งส้มเขียวหวาน”
คุณค่าทางโภชนาการ : มีสรรพคุณทางยาและโภชนาการ ตรงที่ผลนำมารับประทานหรือคั้นน้ำดื่มมีรสชาติเปรี้ยวอมหวานบรรเทาอาการกระหายน้ำ ป้องกันโรคหวัดและการติดเชื้อแบคทีเรีย ลดปริมาณโคเลสเตอรอลในโลหิต ช่วยระบบย่อยอาหารของร่างกาย ระบายได้มีแก้อาการท้องผูก

3.ส้มสีทอง
สายพันธุ์ : ส้มเขียวหวาน
ลักษณะ : ลักษณะของส้ม จะมีเปลือกสีเหลืองทองสวยงาม และรสชาติหวานหอมอร่อยกว่า ที่สำคัญคือส้มสีทองยังถือเป็น ส้มมงคล ที่คนไทยเชื้อสายจีนนิยมนำไปใช้ประกอบพิธีกรรมมงคลต่าง ๆ
คุณค่าทางโภชนาการ : อุดมไปด้วย “วิตามินซี” ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ป้องกันและบรรเทาไข้หวัด

4.ส้มเขียวหวาน
สายพันธุ์ : พัฒนาสายพันธุ์มาจากส้มแมนดาริน
ลักษณะ : มีรูปกลมมน แป้นเล็กน้อย ฐานผลกลมมน ด้านล่างเป็นแอ่งตื้น ๆ ผิวผลเรียบ มีเปลือกบาง เนื้อส้มภายในเป็นสีส้มอมทอง ฉ่ำน้ำ กลีบแยกออกจากกันได้โดยง่าย มีรสชาติอร่อยหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อยฅ
คุณค่าทางโภชนาการ : ผลไม้แก้ท้องผูก กระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย และช่วยปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด

5.ส้มแมนดาริน
สายพันธุ์ : ส้มแมนดาริน สายพันธุ์ที่โดดเด่นได้แก่ Honey Murcott จากประเทศออสเตรเลีย และส้มซัตสุมาจากประเทศญี่ปุ่น
ลักษณะ : เป็นส้มผลขนาดเล็ก ใช้กินสด หรือใส่ในสลัดผลไม้ สายพันธุ์ของส้มแมนดารินที่มีสีแดงมีชื่อทางการค้าว่าแทงเกอรีน ส้มชนิดนี้ใช้เป็นส่วนผสมของยาจีนในรูปผลแห้ง ภายนอกเป็นสีเหลืองอมทอง มีปุ่มเล็กบุ๋มเข้าไปคุณค่าทางโภชนาการ : ช่วยบำรุงสายตา ช่วยในการมองเห็น ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันและอวัยวะภายในทำงานได้อย่างเป็นปกติ วิตามินบี ช่วยบำรุงระบบประสาท บำรุงสมอง ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโต ช่วยให้หัวใจทำงานเป็นปกติ

6.ส้มวาเลนเซีย
สายพันธุ์ : ส้มเกลี้ยง
ลักษณะ : ส้มพันธุ์นี้มีลักษณะต้นสูงใหญ่ ทรงพุ่มมีลักษณะกลม ผลมีขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ มีลักษณะกลมรี ผลมีสีส้ม มีรสหวาน อีกทั้งยังฉ่ำน้ำมาก เปลือกค่อนข้างหนา ปอกเปลือกยาก มีเมล็ดเล็กน้อย ให้ผลดก
คุณค่าทางโภชนาการ : มีรสชาติดีและมีคุณภาพ ใช้ดื่มแก้กระหาย เพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ส้มช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ผิวมีสุขภาพดีไม่แห้งกร้าน

7.ส้มนาเวลลีน่า
สายพันธุ์ : ส้มเกลี้ยง
ลักษณะ : หรือ บ้านเรานิยมเรียกอีกอย่างว่า “ส้มเปลือกหนา” หรือ “ส้มติดเปลือก”เป็นส้มเปลือกหนาที่ส่งตรงมาจากประเทศออสเตรเลีย มีผลขนาดเล็ก รสชาติ หวานหอม ละมุน ชุ่มฉ่ำ เหมาะที่จะนำมาคั้นเป็นน้ำหรือฝานกินสด ๆ
คุณค่าทางโภชนาการ : ช่วยให้เจริญอาหาร ช่วยในการขับถ่าย ช่วยป้องกันโรคหวัด และยังช่วยรักษาเหงือกอีกด้วย อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เตะจมูก ส้มชนิดนี้ถือว่ามีวิตามินซีสูงมากทั้งในเนื้อส้มและเปลือก เหมาะสำหรับการเพิ่มความกระชุ่มกระชวยให้กับร่างกายในสภาวะขาดน้ำ ในส่วนของเปลือกก็สามารถนำมาทำเป็นน้ำมันหอมระเหยได้อีกด้วย

เคล็ดลับการเลือกซื้อส้มให้อร่อย

วิธีเลือกส้ม สังเกตที่ผิวด้านนอก หรือเปลือกส้ม

  1. จับดูรอบๆ ลูกผิวส้มจะต้องเรียบและเต่งตึง
  2. ลูกส้มกลมสวยไม่มีรอยบุ๋ม หรือเบี้ยวจนผิดรูป
  3. ส้มที่อร่อย ควรจะต้องเป็นส้มที่มีเปลือกบางเรียบ ไม่หนาจนเกินไป
  4. เลือกส้มที่มีน้ำหนัก อย่าเลือกลูกที่เบา เพราะถ้าเบาเกินไปแสดงว่าในลูกส้มมีน้ำน้อย ไม่มีรสชาติ และเนื้อฟ่าม
  5. ลองกดที่ลูกส้มดูเบาๆ จะต้องรู้สึกถึงความตึง ไม่นิ่มและยวบจนเกินไป
  6. ที่ด้านก้นหรือสะดือของส้ม (ด้านที่ไม่มีขั้ว) จะต้องเต่งตึงบุ๋มเล็กน้อย ไม่บุ๋มลึกเกินไป
  7. ที่ด้านก้นหรือสะดือของส้ม (ด้านที่ไม่มีขั้ว) จะต้องไม่นูน เพราะถ้าสะดือส้มนูน จะมีความเป็นไปได้สูงว่าส้มลูกนั้นจะจืด และไม่อร่อย
  8. ขั้วส้มจะต้องไม่หลุด และไม่นูนออกมา เพราะถ้านูนเกินไปจะแสดงว่าส้มลูกนั้นฟ่าม คือ ส้มมีรสชาติจืด น้ำน้อย เนื้อกระด้าง ไม่มีกลิ่นหอม หรือบางผลอาจจะมีกลิ่นบูดได้
  9. ลองกดดูแล้วเนื้อแน่น แต่มีความยืดหยุ่น ไม่หลวมเป็นโพรง
  10. สีของส้มต้องมีสีส้มมากกว่าสีเขียว ส้มที่ยังไม่สุกคือส้มที่มีสีเขียวมากเกินไป จะทำให้รสชาติของส้มเปรี้ยว
  11. เลือกผิวส้มที่มีรอยจุดดำในผิว หรือเรียกว่าขี้มด เพราะจะเป็นตัวบ่งบอกว่าส้มมีรสหวาน แต่ต้องไม่ใช่จุดเน่า
  12. สำหรับส้มแมนดาริน (ส้มที่มีสีส้มสวยทั้งลูกและเปลือกหนา) นิยมนำมาไหว้ในช่วงเทศกาลตรุษจีน หรืองานมงคลต่างๆ จะต้องเลือกส้มที่ลูกมีทรงค่อนข้างแป้น บีบเบาๆ แล้วลูกไม่แข็งมาก ที่ด้านก้นหรือสะดือของส้ม (ด้านที่ไม่มีขั้ว) จะต้องบุ๋มเล็กน้อย และฝั่งขั้วไม่นูนขึ้นมา
ส้ม

7 เมนู เครื่องดื่มและขนมจากส้ม

1.กาแฟส้ม

ส่วนผสม

  • น้ำกาแฟดำ 1-2 ชอต (ตามชอบ)
  • น้ำส้ม 100 มิลลิลิตร หรือ 3.5 ออนซ์
  • น้ำแข็ง
  • ไซรัปกลิ่นมะลิ (Jasmin Syrup) 20 กรัม หรือ 0.7 ออนซ์
  • แก้วทรงสูงขนาด 350 มิลลิลิตร

วิธีทำ

  1. ชงกาแฟเตรียมไว้
  2. เติมน้ำแข็งลงในแก้ว
  3. เทไซรัปลงไป ตามด้วยน้ำส้ม และน้ำกาแฟ
  4. ตกแต่งด้วยส้มฝานบางบริเวณขอบแก้ว

2.ส้มบ๊วยโซดา

ส่วนผสม (สำหรับ 8 ที่)

  • น้ำส้มคั้นสด 4 ถ้วย
  • น้ำตาลทราย 1½ ถ้วย
  • บ๊วยเค็มแห้ง 8 ลูก
  • เนื้อส้มหั่นเต๋า 2 ถ้วย
  • ใบสะระแหน่ ½ ถ้วย
  • โซดา 4 ถ้วย
  • น้ำเปล่า 3 ถ้วย
  • น้ำแข็ง 3 ถ้วย
  • ส้มฝานแว่นสำหรับตกแต่ง

วิธีทำ

  1. ทำน้ำเชื่อมบ๊วยโดยต้มน้ำกับน้ำตาล และบ๊วยด้วยไฟอ่อน เคี่ยวจนงวดให้น้ำเชื่อม เหลือครึ่งหนึ่ง พักให้เย็น
  2. ผสมน้ำเชื่อมบ๊วย น้ำส้มคั้น เนื้อส้ม ใบ สะระแหน่ และโซดา คนให้เข้ากัน ตักใส่ แก้ว ตกแต่งด้วยส้มฝานแว่น

3.น้ำส้มคั้นสด

วิธีทำน้ำส้มคั้น

  1. แช่ส้มในน้ำอุ่น พักทิ้งไว้สักครู่ จากนั้นล้างเปลือกด้วยฟองน้ำเบา ๆ ล้างน้ำซ้ำอีกครั้ง ผ่าครึ่งผลส้ม เตรียมไว้
  2. คั้นน้ำส้มด้วยที่คั้นน้ำผลไม้ หรือบีบด้วยมือก็ได้ กรองเอาเม็ดออก เทใส่เหยือก
  3. เติมเกลือลงไปเล็กน้อย ตามด้วยน้ำมะนาว คนจนเกลือละลาย ชิมรสชาติตามชอบ ถ้าชอบหวานสามารถเติมน้ำเชื่อมลงไป กรอกน้ำส้มใส่ขวด นำไปแช่เย็น เก็บในตู้เย็นได้ประมาณ 3 วัน

4.เค้กลูกส้ม

ส่วนผสม

  • เนื้อเค้ก (จำนวน 6 ชิ้น)
  • แป้งเค้ก 120 กรัม
  • น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย
  • ไข่ไก่เบอร์ 0 3 ฟอง
  • น้ำส้มแมนดารินเข้มข้น 2 ช้อนโต๊ะ
  • โอวาเลต (Ovalett) 1 ช้อนโต๊ะ
  • ผงฟู 1 ช้อนชา
  • เนยสดเค็มละลาย 100 กรัม
  • กลิ่นส้ม 1 ช้อนชา
  • สีผสมอาหารสีส้ม 1 ช้อนชา
  • ส่วนผสมซอสส้ม
  • น้ำส้มแมนดารินเข้มข้น 1/2 ถ้วย
  • น้ำเปล่า 1 1/2 ถ้วย
  • น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
  • เนยสดเค็ม 50 กรัม

วิธีทำ

  1. ทำ เค้กลูกส้ม โดยใส่ไข่ไก่ลงในโถตี ใส่น้ำตาลและน้ำส้มแมนดารินเข้มข้น
  2. ใส่แป้งเค้ก ผงฟู และโอวาเลต ตีด้วยเครื่องตีมือถือจนส่วนผสมขึ้นฟูเป็นครีมขาวข้น ๆ
  3. ใส่กลิ่นส้ม และสีผสมอาหาร ตีต่อให้เข้ากัน ค่อย ๆ ใส่เนยสดเค็มละลาย ตีให้เข้ากันทั่ว
  4. ตักใส่พิมพ์ครึ่งวงกลมประมาณ 3/4 ของพิมพ์ นำไปอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส เวลา 15-20 นาที จนสุก พักไว้ให้เย็น
  5. ทำซอสส้มโดยใส่น้ำส้มแมนดารินเข้มข้น น้ำ น้ำตาล และแป้งข้าวโพดลงในหม้อ คนให้เข้ากัน ตั้งไฟ กวนให้เดือดจนแป้งสุกข้น
  6. ปิดไฟ ใส่เนยสด คนต่อให้เข้ากันจนเนยละลายหมด และเข้ากับส่วนผสมน้ำส้ม
  7. นำเค้กออกจากพิมพ์ วางบนตะแกรง ตักซอสส้มราดให้เคลือบชิ้นเค้กจนทั่ว ถ้าซอสยังบางอยู่ให้ราดซ้ำจนเค้กฉ่ำ พักไว้ให้เย็น จัดใส่จาน

5.วุ้นส้มนมสด

ส่วนผสม วุ้นส้ม

  • น้ำส้มแมแนดารินชนิดกล่อง 2 1/2 ถ้วย
  • น้ำตาลทราย 5 ช้อนโต๊ะ
  • ผงวุ้น 2 1/2 ช้อนชา
  • อุปกรณ์ พิมพ์กลมสำหรับทำวุ้นขนาด 3 ซ.ม
  • แก้วขนาด 10 ออนซ์
  • ใบแก้วสำหรับตกแต่ง
  • ส่วนผสม วุ้นนมสด
  • นมสดชนิดจืด 3/4 ถ้วย
  • น้ำตาลทราย 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • ผงวุ้น 1 ช้อนชา

วิธีทำ

  1. ใส่น้ำส้มลงในหม้อ ใส่ผงวุ้นลงไปคนให้เข้ากัน พักไว้ 5 นาที นำไปตั้งบนไฟกลาง
  2. หมั่นคนไปเรื่อย ๆ พอร้อน และผงวุ้นละลาย ใส่น้ำตาลทราย คนให้ละลาย
  3. แบ่งครึ่งนึงเทใส่พิมพ์วุ้นทรงกลม อีกครึ่งหนึ่งเทใส่แก้วที่จะจัดเสิร์ฟให้ได้ปริมาณ ½ ของแก้ว
  4. นำพิมพ์วุ้นทรงกลม และแก้วไปแช่ตู้เย็นช่องธรรมดา เพื่อให้เซ็ตตัว 15 นาที
  5. นำพิมพ์วุ้นทรงกลมออกจากตู้เย็น แกะเอาวุ้นส้มออก ทำจนหมด พักไว้
  6. ใส่นมสด และผงวุ้นลงในหม้อ คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 5 นาที นำไปตั้งบนไฟกลาง พอร้อน และผงวุ้นละลาย ใส่น้ำตาลทรายคนให้ละลาย
  7. เทใส่แก้วที่มีวุ้นส้มแล้ว วางวุ้นส้มทรงกลมลงไปตอนที่นมยังไม่เซ็ตตัว
  8. นำไปแช่ตู้เย็นช่องธรรมดา 20 นาที พอเซ็ตตัว นำออกจากตู้เย็น ตกแต่งด้วยใบแก้ว เสิร์ฟ

6.แยมส้ม

ส่วนผสม

  • ส้ม 8 ลูก
  • น้ำตาลทราย
  • เกลือ
  • มะนาว 1 ลูก

วิธีทำ

  1. ปลอกผิวส้มออกให้หมด โดยไม่เอาส่วนขาวของส้ม แล้วซอยเปลือกส้มให้เป็นเส้นบาง ๆ
  2. หั่นเนื้อส้มตามกลีบ กากที่เหลือบีบน้ำใส่หม้อไว้
  3. เคี่ยวส้ม น้ำตาล ด้วยไฟอ่อน จนได้ความข้นตามต้องการ ปิดไฟ
  4. ใส่ผิวส้มพอประมาณ น้ำมะนาว คนเข้ากัน จากนั้นรอจนเย็นแล้วค่อยตักเก็บใส่ภาชนะที่ต้องการ

7.น้ำส้มโซดา

ส่วนผสม

  • น้ำส้มคั้นแช่เย็น1 ถ้วย
  • น้ำเชื่อมแช่เย็น2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมะนาว1 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำโซดาเเช่เย็น (325 ml)1 ขวด
  • เนื้อมะม่วงน้ำดอกไม้สุกหั่นชิ้น แช่แข็ง1/2 ถ้วย
  • น้ำแข็งชนิดก้อน
  • ยอดสะระแหน่สำหรับตกแต่ง

วิธีทำ

  1. ใส่น้ำส้มคั้น น้ำเชื่อม น้ำมะนาว และน้ำโซดาลงในเหยือก คนพอเข้ากัน
  2. ใส่ชิ้นมะม่วงที่แช่แข็งลงในแก้วน้ำแข็ง ตามด้วยน้ำส้มที่เตรียมไว้ ตกแต่งด้วยยอดสะระแหน่ 

ข้อควรระวังในการทานส้ม

การรับประทานส้ม ควรจะรับประทานในปริมาณที่พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป มิฉะนั้นจากประโยชน์ก็อาจกลายเป็นผลเสียได้ โทษของส้มมีอะไรบ้าง สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคไต จะต้องระมัดระวังการรับประทานส้มมากกว่าคนทั่วไป
ผู้ป่วยเบาหวาน สามารถรับประทานได้แต่ต้องควบคุมปริมาณ เพราะหากรับประทานมากเกินไป ร่างกายอาจได้รับน้ำตาลมากเกินไปด้วย
ผู้ป่วยโรคไต ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานส้ม เพราะมีโพแทสเซียมสูง ซึ่งส่งผลต่อระบบการทำงานของไตและระบบอื่นๆ ภายในร่างกาย 

ติดตามข่าวสารได้ที่  https://seasonsfruits.com
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ : ชมพู่ ผลไม้ที่เต็มไปด้วยสารอาหารสำคัญ